สโตนเฮนจ์
ในประเทศอังกฤษนั้นเรียกได้ว่ามีสถานที่สำคัญ ๆ หลายแห่งมาก ๆ เลยค่ะ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นจุดเด่นของประเทศอังกฤษอีกหนึ่งสิ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งการที่เราจะไปเยือนอังกฤษนั้นการหาสถานที่ท่องเที่ยวหรือการหาจุดแลนด์มาร์กน่าไปเอาไว้จะทำให้การท่องเที่ยวนั้นง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และวันนี้บทความของเราจะพาทุกท่านไปชมสโตนเฮนจ์ ซากกองหินในประวัติศาสตร์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และยังหาคำตอบไม่ได้ สู่การมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสนใจมาฝากกัน จะมีความพิเศษและความน่าสนใจที่ตรงไหนบ้างนั้น มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
พาไปชม สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ กับความลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้
สโตนเฮนจ์ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษที่ตั้งอยู่ในทุ่งราบซัลเลสเบอร์รี่ โดยจะมีจุดสังเกตอยู่ตรงที่หินหลาย ๆ กองที่ได้ถูกวางพาดและพิงกันเอาไว้ในรูปแบบเดียวกัน อีกทั้งในพื้นที่บริเวณนั้นยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ปะปนอย่าเลย ซึ่งก็จะทำให้เราสามารถเห็นกองหินทั้งหมดนี้ได้อย่างชัดเจน โดยมุมมองของแต่ละคนในการมองกองหินเหล่านี้นั้นจะมีความแตกต่างกันไปค่ะ แต่หากมองดี ๆ มันจะเป็นเหมือนกับประตูที่สามารถพาไปสู่อีกที่หนึ่งได้เลย
โดยหินที่ตั้งวางพิงพาดกันไว้นั้นจะมีอยาด้วยกันทั้งหมด 112 ก้อน ประกอบด้วย หินวงกลมที่วางซ้อนกันอยู่ 3 วง ซึ่งเขาจะวางเรียงในลักษณะที่นอนและตั้งแตกต่างกันออกไป และด้วยความที่หินเหล่านี้มีลักษณะดังนี้และไม่มีใครที่สามารถเคลื่อนย้ายมันออกไปไหนได้นั้น นักวิทยาศาสตร์ก็ได้มีการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งก็ทำให้เราได้ทราบว่าอายบุของหินเหล่านี้นั้นมีอายุประมาณ 5,000 ปี มาแล้ว ซึ่งก็ถือว่าเป็นยุคที่สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่เราเห็นนี้ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อปี 2020 ท่าผ่านมานั้นทางทีมนักวิจัยก็ได้ข้อสันนิษฐานว่าสโตนเฮนจ์นี้อาจจะเป็นปฏิทินถาวรที่ผู้คนนั้นสามารถติดตามได้ทุก ๆ วันที่พระอาทิตย์ตกในวันเหมายันต์ จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นสามารถติดตามวันและเดือนของปีได้นั่นเอง เพราะเมื่อลองทำการคำนวณต่าง ๆ แล้วนั้นจะได้ครบ 365 วันพอดี และเมื่อต้องบวกกับปีอธิกสุรทินอีก 1 วัน ในรอบ 4 ปี ก็เป็นผลลัพธ์ที่ตรงกัน จึงทำให้เริ่มมั่นใจได้ว่าสถานที่แห่งนี้นั้น อาจเป็นสถานที่ที่คนสมัยก่อนใช้ในการดูวันและเดือนก็เป็นได้
แต่ก็มีคำถามอีกหลากหลายคถามสำหรับคนที่มาท่องเที่ยวในที่แห่งนี้ว่า ถึงแม้ที่นี่จะมีการวิจัยและการสำรวจออกมาพร้อมกับการสันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ที่คนสมัยก่อนใช้ในการดูวันและเดือนนั้น แล้วเรื่องของวิธีการขนย้ายล่ะ เป็นไปเป็นมาอย่างไรบ้าง เพราะหินที่อยู่ละแวกเดียวกันนั้นไม่มีเห็นที่เป็ยในลักษณะแบบนี้เลยแต่ในทุ่งมาร์ลโบโร ดันมีหินในลักษณะแบบนี้แต่มันก็อยู่ห่างจากจุดสโตนเฮนจ์ไปประมาณเกือบ 40 กิโลเมตร เลยทีเดียว
ซึ่งก็มีการสันนิษฐานว่าอาจจะใช้แพลำเลียงหินเหล่านี้ผ่านมาทางน้ำ แต่ก็มีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเหล่านี้เพราะหินที่เราได้เห็นกันนั้นมีความใหญ่โตและมีลักษณะที่ค่อนข้างใหญ่มาก หากจะนำลงแพก็คงจะต้องจมลงไปในน้ำอย่างแน่นอน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เอาเป็นว่าทุกสร้างที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นต่างมีวิธีการและเหตุผลของมันในการสร้างดังนั้นการที่เราได้เห็นเฮนจ์สโตนในปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นบุญตาที่สุดแล้วค่ะ เพราะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ตั้งอยู่รอให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้มาเที่ยวชมกันนั่นเอง
ซึ่งส่วนตัวแล้วก็ได้ยินชื่อของเฮนจ์สโตนมาตั้งแต่สมัยเรียนและได้มาชมภาพยนตร์เรื่อง The Kid Who Would Be King ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของประเทศอังกฤษที่มีการหยิบยกเฮนจ์สโตนมาใช้เป็นจุดที่เชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน ซึ่งทำเหมือนกันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นประตูที่ใช้โดยสารมนุษย์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งนั่นเอง อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวในปี 2020 ทำให้เราเองก็อยากลองไปเที่ยวชมสโตนเฮนจ์มาก ๆ เลย ในตอนนั้น
และหากใครที่กำลังวางแพลนอยากลองไปเที่ยวสโตนเฮนจ์กันสักครั้งนั้นก็แนะนำให้ไปมาก ๆ เลยค่ะ เพราะเป็นสถานที่ที่เป็นมรดกโลกอีกทั้งยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกที่หนึ่งของโลกที่มใครหลาย ๆ คน ก็อาจจะอยากไปเที่ยวชมสักครั้งในชีวิตหนึ่ง ถึงแม้จะยังไม่รู้ประวัติความเป็นมาที่แน่ชัดเลยก็ตาม
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสโตนเฮนจ์ที่เราได้นำมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกัน ซึ่งถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่กึ่งลึกลับที่ใครหลาย ๆ คน อาจจะยังไม่รู้ต้นตอที่มาว่ามีความเป็นไปเป็นมาอย่างไรและมีจุดประสงค์ในการทำเพื่ออะไร แต่หากมองในส่วนที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปในประเทศอังกฤษแล้วนั้น ก็ถือว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่ที่น่าไปท่องเที่ยวมาก ๆ ดังนั้นหากใครที่กำลังวางแพลนจะไปเที่ยวอังกฤษนั้น สโตนเฮนจ์นี้คือห้ามพลาดที่จะไปเลยล่ะค่ะ
อ่านต่อที่ 10 ที่เที่ยวในมาเลเซีย พิกัดฮิตน่าไป เดินทางใกล้ไทยนิดเดียว